หลังจากได้ลิ้มลองภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ทั้งสองเรื่องอย่าง Ironman (2008) และ The Jungle Book (2016) ซึ่งเป็นแอนิเมชั่นไลฟ์แอ็กชันเรื่องแรกของดิสนีย์ จอห์น ฟาฟโรก็เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับบทนี้ The Lion King สวมบังเหียนสิงโตและสัตว์อื่น ๆ ที่เหมือนจริง จากโปรไฟล์ บางคนอาจคิดว่า Favreau เคี้ยวหมูในงาน แต่ถ้าไม่ก็อย่าลืมว่าฉบับอนิเมชั่นปี 1994 คือผลงานชิ้นโบว์แดงที่แฟนๆรักและหวงแหนมากที่สุด ครองทั้งแอนิเมชั่นวาดด้วยมือทำรายได้สูงสุดของโลก กลับมาฉายทั้ง IMAX และ 3D ยังสร้างปรากฎการณ์รายได้เช่นเดิม ดังนั้น การนำผลงานชิ้นโบว์แดงมาแบบนี้หากไม่ได้ดอกไม้คงหัวใจสลายทั้งคนดูและเดอะ นักวิจารณ์คนเดียวกัน
ปัญหาจากการเป็น “อนิเมชั่นอันเป็นที่รัก” ยังคงเป็นคุณลักษณะของภาพยนตร์คนแสดงของดิสนีย์แทบทุกเรื่องก่อนหน้านี้ รวมถึง The Jungle Book, Beauty and the Beast หรือ Cinderella ผู้สร้างได้ดัดแปลง Aladdin ให้เป็น Arabian Nights เวอร์ชั่นพังก์ ความสำเร็จของฮิปฮอป เขาต้องเลือกที่จะปรับตัวให้เข้ากับมุมมองที่บิดเบี้ยวของมาเลฟิเซนต์ The Lion King เลือกที่จะเล่นอย่างปลอดภัย อิงจากบทต้นฉบับเกือบทั้งหมดโดยเจฟฟ์ Nathanson และ Brenda Chapman ขยายงานศิลปะการติดตามแบบเฟรมต่อเฟรมจากการ์ตูนเรื่องนี้ การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กราฟิกเพื่อสร้างภาพที่ “สมจริง” กลายเป็นดาบสองคม
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของฉันที่ได้กลับมาเยี่ยมชม The Lion King ในโรงภาพยนตร์เพื่อดูสิงโตแทนที่จะเป็นสิงโต นกแทนนก หมูป่า เมียร์แคตที่สมจริงราวกับสารคดีสัตว์ สมคำร่ำลือกับทัศนียภาพที่สวยงามของผาโทนง แอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยนกฟลามิงโกและทุ่งหญ้าสะวันนาที่สวยงาม แต่ทุกอย่างก็ไม่มีความหมายเพราะตัวละครอันเป็นที่รักอย่าง Simba, Mufasa, T-Bone, Pumbaa, Nala และเราอยากเห็นพวกเขาอีกครั้ง ส่วนตัวประทับใจจุดนี้ Mufasa เห็น Rafiki อุ้ม Simba ตัวน้อยด้วยความดีใจ ซาราบีและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม นอกจากนี้ สิงโตน้อยยังน่ารักน่าเอ็นดูจนน่ากอดเหมือนลูกแมว โดยเฉพาะฉากร้องเพลง I Just Can’t Wait To Be King กับนกฟลามิงโก ยิ่งสวย เพลินตามาก และไฮไลท์สำคัญคงหนีไม่พ้นตัวละครที่เราเติบโตมากับปรัชญาชีวิตของ Hakuna Matata อย่าง Timon และ Pumba ที่ยังคงเป็นเหมือนเพื่อนที่คอยปลอบใจตลอด 25 ปีที่ผ่านมาในภาพยนตร์ที่เราเคยดูกัน หมูป่าและเมียร์แคตน่ารำคาญแต่จริงใจและพร้อมที่จะต่อสู้ เพียงเท่านี้ภาพแห่งความทรงจำก็ราวกับถูกกระชากให้มาปรากฏต่อหน้าให้หนำใจอีกครั้ง
และความสมจริงของเทคโนโลยี CGI มาพร้อมกับต้นทุนที่สำคัญที่สุด ซึ่งเกี่ยวข้องกับอารมณ์ เพราะการทำให้สัตว์ดูเหมือนจริงต้องใช้ “ตรรกะ” ทางชีววิทยา เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง สัตว์ไม่สามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้ แต่ในทางกลับกัน เนื้อเรื่องและธีมของ The Lion King คือการตีความของวิลเลียมที่มีต่อโศกนาฏกรรมที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก เชกสเปียร์เปรียบเสมือนแฮมเล็ตในนิทานคุณธรรม ดังนั้นเราจึงไม่เห็นความหวาดกลัวแม้แต่น้อยบนใบหน้าของซิมบ้า ความกังวลของพ่อของ Mufasa คือเขาไม่ต้องการให้ลูกน้อยของเขาถูกควายกระทืบตาย หรือที่สำคัญกว่านั้นคือความโหดร้ายของสีกาที่วางแผนหักหลังพี่ชายของเธอเอง สิ่งเดียวที่ผู้ชมจะได้รู้คือตัวละครสัตว์คิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรที่ต้องพึ่งพาการแสดงด้วยเสียงอย่างเดียว? และแน่นอนว่าจะมีการเปรียบเทียบกับผู้ที่เคยสัมผัสภาพยนตร์แอนิเมชั่นภาคต่อ The Lion King ในปี 1994 ทั้งเสียงพากย์และเพลงประกอบ
ก่อนจะพูดถึงนักพากย์ สิ่งหนึ่งที่เราต้องตระหนักก็คือ ครั้งนี้ John Favreau เลือกที่จะให้นักแสดง “เล่น” ตัวละครของพวกเขา และพยายามออกแบบการแสดงให้เหมือนแสดงเป็นตัวละครนั้นจริงๆ ดังนั้นวิธีคิดจึงแตกต่างจาก “การพากย์” ที่ต้องใช้จังหวะ การแบ่งวรรณยุกต์และคำต้องตรงกับการตัดแอนิเมชัน การเริ่มและหยุด การเน้นเสียงอักขระ และผลที่ออกมาบอกตามตรงว่าหลายฉากดูไม่จืดเลย เพราะในขณะที่นักแสดงแสดงอารมณ์สมจริงตามตัวละคร “ตัวละครที่สมจริง” ก็มีแต่ขยิบตาอ้าปากค้าง แม้ว่าเสียงและรูปลักษณ์ของตัวละครจะไม่เกี่ยวข้องกัน แม้ว่าเจมส์ เอิร์ล โจนส์จะกลับมาเป็นมูฟาซา เราก็ยังรู้สึกสงสารหรือรักลูกๆ ของเราไม่ ของเราเหมือนกับฉบับอนิเมชั่น นี่ก็เพียงพอที่จะเอาตัวรอดจากคอเมดีอย่าง Simba Nala, Little Lion, Pumbaa และ T-Bone ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับบุคลิกที่ตลกขบขันของพวกเขา ของหมูป่าและเมียร์แคต เสริมด้วยนักพากย์ แต่จุดบกพร่องที่สุดของงานพากย์คงหนีไม่พ้นตัวละครสกา เป็นความจริงที่ Chiwetel Ejiofor อาจรับบทเป็นตัวร้ายมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ Ska ซึ่งเสียงยังคงกังวานกับ Jeremy Iron ดูห่างไกลเกินไป ในความทรงจำของฉัน เสียงต่ำของ Schweetel กลายเป็นเสียงต่ำชวนง่วงนอนและน่าเสียดายที่ไม่ได้สร้างอารมณ์
และอีกหนึ่งองค์ประกอบที่หลายคนจับตามองก็คือเพลงประกอบภาพยนตร์ สำหรับเพลงประกอบของ Hans Zimmer คุณยังได้บุญเก่า แถมยังปรับปรุงให้สวยงาม หรูหรา เอาตัวรอดได้สบายๆ แต่ด้วยการตีความใหม่จากการออกแบบซาวด์แทร็กของ Pharrell Williams โดยส่วนตัวแล้วมันร้อนแรงพอ ๆ กัน ของผู้กำกับจอห์น แฟฟโร ราวกับว่าแต่ละเพลงที่ผ่านไปถูกตัดขาดจากผู้ชม ค่อยเป็นค่อยไปสำหรับ Circle of Life มันเหมือนกับว่า I Just Can’t Wait To Be King เสียงใสของ JD McCreary, Shahadi Wright Joseph Madue ยังคงน่ารัก และ Hakuna Matata ยังรอดด้วยเสน่ห์ของนักพากย์ที่มีสีสัน แต่ความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดของฟาร์เรล วิลเลี่ยม คือการเลือกที่จะตัดเพลง Be Prepared ของ Ska ออกไป ไม่แน่ใจว่า Chiwetel Ejiofor ร้องเพลงไม่ได้หรือเปล่า แต่พีคหนักมากถ้าใครเคยดูเวอร์ชั่นต้นฉบับที่ Jeremy Irons ร้อง เพราะสื่อถึงความเสแสร้ง ความทะเยอทะยานของสกาล้วนๆ และทำให้เราเข้าใจว่าทำไมสกาถึงโกรธมูฟาซามาก คลิปสั้นป้องกันไม่ให้เผยแพร่ข้อความนี้ และนั่นทำให้การลอบสังหารมูฟาซาของสกาเป็นเพียงความทะเยอทะยานเท่านั้น และแน่นอนว่า Can You Feel The Love Tonight ซึ่งเคยอยู่ในรายชื่อเพลงประกอบภาพยนตร์โรแมนติกก็กลับมาในเวอร์ชั่นอาร์แอนด์บีที่ไพเราะและไพเราะ แต่พอเอามาประกอบกับหนังกลับรู้สึกไม่ลงรอยกัน โกลเวอร์นักร้องประสานเสียงของบียอนเซ่และโดนัลด์ไม่รู้สึกเหมือนตัวละครกำลังร้องเพลง ดังนั้นมันจึงกลายเป็นมิวสิควิดีโอของบียอนเซ่และไชลด์ดิชแกมบิโนพร้อมฟุตเทจเพิ่มเติมจาก The Lion King
ในคำพูดของ Mufasa เมื่อช่วงเวลาของกษัตริย์ปรากฏขึ้นเหมือนดวงอาทิตย์ยามเช้าและจางหายไปเหมือนพระอาทิตย์ตกดิน The Lion King คือความต่อเนื่องที่ดีของยุครุ่งเรืองของดิสนีย์ โดยเฉพาะคุณประโยชน์มากมายที่ตามมาทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องหนังและมูลค่าของคาแร็กเตอร์ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับอาณาจักรอย่างไม่รู้จบ และแม้ว่าจะทำให้แฟน ๆ ของแอนิเมชั่นต้นฉบับไม่พอใจ แต่เชื่อเถอะว่าลึก ๆ เรายังอยากกลับไปหาเพื่อนเก่าเหมือนเดิม เราจะ “เติบโตไปด้วยกัน” อีกครั้งอย่างแน่นอน พูด Hakuna Matata และสนุกไปกับตัวละครอันเป็นที่รักของ The Lion King กันทั้งครอบครัว